‘โลหิตจาง’ หรือ ‘ภาวะซีด’ หนึ่งในปัญหาสุขภาพร่างกายที่มักพบได้บ่อยในผู้สูงอายุ ซึ่งส่งผลกระทบต่อสุขภาพโดยรวม ไปจนถึงการใช้ชีวิตในระยะยาวได้

สูงวัยเหนื่อยง่าย เพลียบ่อย อาจเสี่ยง ‘โลหิตจาง’

25 มกราคม 2566
แชร์

สูงวัยเหนื่อยง่าย เพลียบ่อย อาจเสี่ยง
‘โลหิตจาง’

หากผู้ใหญ่ในบ้านมักมีอาการวิงเวียน  เหนื่อยง่าย เพลียบ่อย หรือเป็นลม อาจเป็นสัญญาณเตือนว่าท่านกำลังเสี่ยงเป็น ‘โลหิตจาง’ หรือ ‘ภาวะซีด’ หนึ่งในปัญหาสุขภาพร่างกายที่มักพบได้บ่อยในผู้สูงอายุค่ะ ซึ่งส่งผลกระทบต่อสุขภาพโดยรวม ไปจนถึงการใช้ชีวิตในระยะยาวได้ แล้วอาการแบบไหนอีกบ้างที่เข้าข่ายภาวะโลหิตจาง รวมถึงวิธีดูแลผู้สูงอายุที่มีภาวะโลหิตจางควรทำอย่างไร ตาม #Certainty ไปดูกันเลยค่ะ

>> ชวนรู้จักสัญญาณของโลหิตจาง 
‘โลหิตจาง’ หมายถึงภาวะที่ร่างกายมีปริมาณเม็ดเลือดแดงในเลือดน้อยกว่าปกติ ทำให้นำออกซิเจนไปยังเซลล์และเนื้อเยื่อในอวัยวะต่างๆ ได้น้อยลง ส่งผลทำให้เกิดความผิดปกติกับร่างกาย เช่น 
- อ่อนเพลีย เหนื่อยง่ายกว่าปกติ 
- ตาเหลือง ตัวเหลือง 
- ตัวซีด เช่น หน้าซีด เยื่อบุตาซีด และริมฝีปากซีด 
- ออกแรงแล้วหายใจลำบาก 
- มึนงง วิงเวียนศีรษะ 
- เป็นลม หมดสติ 
- เจ็บหน้าอก ใจสั่น

>> ปัจจัยที่ทำให้เกิดโลหิตจางในผู้สูงอายุ 
1. การขาดสารอาหารที่จำเป็นต่อการสร้างเม็ดเลือดแดง ได้แก่ 
- ขาดธาตุเหล็ก อาจมีสาเหตุมาจากการรับประทานอาหารที่มีธาตุเหล็กไม่เพียงพอ หรือจากการเสียเลือดเรื้อรังในทางเดินอาหาร หรือจากความผิดปกติของการดูดซึมธาตุเหล็กในร่างกาย อาการที่อาจพบได้ เช่น อ่อนเพลีย เหนื่อยง่าย อยากกินของแปลกๆ ที่ไม่ใช่อาหาร ริมฝีปากแตกเป็นร่อง มุมปากอักเสบ 
- ขาดวิตามินบี 12 ส่วนมากในผู้สูงอายุมักมีสาเหตุมาจากการดูดซึมที่น้อยลง อาการที่อาจพบได้ เช่น ระบบประสาทไขสันหลังผิดปกติ ลิ้นอักเสบ 
- ขาดกรดโฟลิก มักเกิดจากการรับประทานอาหารที่มีกรดโฟลิกไม่เพียงพอ โดยเฉพาะผู้ที่ดื่มแอลกอฮอล์ เนื่องจากแอลกอฮอล์ลดการดูดซึมกรดโฟลิก อาการที่อาจพบได้คล้ายกับอาการขาดวิตามินบี 12 แต่จะไม่พบอาการทางระบบประสาท 

2. โรคเรื้อรังที่อาจส่งผลในการกระตุ้นการสร้างเม็ดเลือด เช่น โรคไตเรื้อรัง โรคตับ ข้ออักเสบ โรคเกี่ยวกับระบบภูมิคุ้มกัน เป็นต้น 

3. ไม่ทราบสาเหตุ เช่น อาจเกิดจากความเสื่อมของร่างกายตามวัย ส่งผลให้ไขกระดูกสร้างเม็ดเลือดแดงได้น้อยลง หรือไตเสื่อมลง หรือการสร้างฮอร์โมนอิริโทรโพอิตินลดลง เป็นต้น 

>> วิธีดูแลผู้สูงอายุให้ห่างไกลจากโลหิตจาง 
- เพิ่มอาหารที่อุดมไปด้วยธาตุเหล็ก เช่น เนื้อสัตว์สีแดง (สันในหมู เนื้อวัว) ตับหมู เลือดหมู ผักใบเขียว ตำลึง กะหล่ำปลี ดอกกะหล่ำ ถั่วเขียว ถั่วแดง งาดำ 
- เพิ่มวิตามินซีเพื่อช่วยในการดูดซึมธาตุเหล็ก เช่น  บรอกโคลี มันฝรั่ง พริกหวาน ผักโขม มะละกอ ฝรั่ง ส้ม 
- เพิ่มวิตามีนบี 12 ซึ่งเป็นวิตามินที่มีความสำคัญต่อการสร้างเม็ดเลือดแดงและเซลล์ระบบสมองและเส้นประสาท อาหารที่แนะนำ เช่น เนื้อวัว เนื้อไก่ เนื้อหมู ไข่ทั้งฟอง ปลา โยเกิร์ต นม 
- งดเครื่องดื่มชา กาแฟ หรือแอลกอฮอล์ ที่อาจไปลดการดูดซึมธาตุเหล็กได้ 
- ให้ท่านนอนพักผ่อนให้เพียงพอ 
- ดื่มน้ำให้ได้อย่างน้อย 8-10 แก้วต่อวัน 
- สำหรับผู้สูงอายุที่กินอาหารมังสวิรัติหรือชีวจิต หรือที่กินเนื้อและนมได้น้อย ควรพาท่านไปตรวจเช็กเลือดดูว่ามีภาวะโลหิตจางหรือไม่ ถ้าพบควรกินยาบำรุงโลหิตเสริมเป็นประจำตามที่แพทย์สั่งหรือวินิจฉัย

         หมั่นดูแลเรื่องอาหารการกินของผู้สูงอายุให้ครบถ้วนโดยเฉพาะการเสริมธาตุเหล็กให้เพียงพอ ปรับเปลี่ยนรูปแบบอาหารให้ท่านทานง่าย เช่น เนื้อสัตว์ที่มีธาตุเหล็กแต่เคี้ยวยากก็ควรทำให้นิ่มลง เปื่อยนุ่มเคี้ยวง่าย หรือสับละเอียดให้ชิ้นเล็กลง ทั้งนี้การเลือกชนิดอาหารเพื่อเสริมธาตุเหล็กให้ท่านควรปรึกษาแพทย์ก่อนนะคะ รวมถึงสังเกตอาการผิดปกติของผู้สูงอายุอยู่เสมอ หากพบอาการผิดปกติหรือสงสัยว่าท่านมีภาวะโลหิตจาง แนะนำให้รีบพบแพทย์ จะได้รักษาท่านอย่างทันท่วงทีค่ะ 
         และสำหรับผู้สูงอายุท่านไหนที่มีปัญหาเรื่องปัสสาวะ เช่น กลั้นปัสสาวะไม่ได้ ปัสสาวะเล็ดราด จนกังวลเวลาต้องออกไปนอกบ้าน ดูแลท่านด้วยตัวช่วยอย่าง ‘กางเกงซึมซับ’ ที่ซึมซับดี สวมใส่ง่าย ใส่กระชับ สัมผัสนุ่ม ช่วยเติมความอุ่นใจให้ท่านออกไปทำกิจกรรมต่างๆ ได้อย่างมีความสุข 

ขอบคุณข้อมูลจาก โรงพยาบาลบำรุงราษฎร์, โรงพยาบาลนครธน, โรงพยาบาลกรุงเทพ, สสส.