ปัญหาปัสสาวะเล็ด กลั้นปัสสาวะไม่ได้ มักพบบ่อยในผู้หญิง และผู้ที่มีอายุเพิ่มมากขึ้น ซึ่งปัญหานี้อาจรบกวนชีวิตประจำวันและส่งผลกระทบต่อคุณภาพชีวิต อาจทำให้เครียด รู้สึกขาดความมั่นใจจนไม่อยากออกไปทำกิจกรรมข้างนอก หรือพบปะเพื่อนฝูงอย่างที่เคย ด้วยความห่วงใย #เซอร์เทนตี้กูรู จะพาไปทำความรู้จัก อาการปัสสาวะเล็ด กลั้นปัสสาวะไม่ได้ เพื่อให้ทุกคนเข้าใจตัวโรค รู้จักวิธีการสังเกต และสามารถรับมือกับโรคนี้ได้อย่างทันท่วงทีค่ะ
ทำความรู้จักปัญหาและสาเหตุของอาการปัสสาวะเล็ด กลั้นไม่ได้
คือ อาการที่ไม่สามารถควบคุมกระเพาะปัสสาวะ ทำให้ปัสสาวะซึมหรือไหลออกมา ซึ่งเกิดได้กับทุกเพศทุกวัย แต่พบได้บ่อยในเพศหญิงและผู้สูงอายุ โดยในเพศหญิงสาเหตุสำคัญ คือ การที่ระดับฮอร์โมนเอสโตรเจนลดลงอย่างรวดเร็วในวัยหมดประจำเดือน ทำให้ผนังท่อปัสสาวะบางลง ลดความสามารถในการปิดของหูรูดท่อปัสสาวะ ส่งผลให้หูรูดปิดสนิทได้ยากขึ้น และนอกจากนี้ก็ยังมีปัจจัยอื่นๆ อีก เช่น กล้ามเนื้ออุ้งเชิงกรานหย่อนลง ซึ่งอาจเกิดจากการคลอดบุตร หรืออายุที่เพิ่มมากขึ้น
ภาวะกลั้นปัสสาวะไม่ได้ 3 ชนิด ที่พบได้บ่อย ได้แก่
1. ภาวะกลั้นปัสสาวะไม่ได้หลังมีอาการปวดปัสสาวะแบบฉับพลัน หรือภาวะปัสสาวะราด สาเหตุส่วนใหญ่เกิดจากกระเพาะปัสสาวะบีบตัวไวเกิน
2. ภาวะกลั้นปัสสาวะไม่ได้หลังมีการเพิ่มแรงดันในช่องท้อง หรือภาวะไอจามแล้วปัสสาวะเล็ด เป็นผลมาจากการที่ตัวหูรูดของท่อปัสสาวะหดรัดตัวไม่ดี หรือมีการหย่อนตัวของกล้ามเนื้อบริเวณอุ้งเชิงกราน เมื่อมีการเพิ่มความดันในบริเวณช่องท้องอย่างกะทันหัน เช่น การไอจาม หัวเราะ ยกของหนัก หรือออกกำลังกาย ส่งผลทำให้ควบคุมการไหลของปัสสาวะไม่ได้
3. ภาวะกลั้นปัสสาวะไม่ได้แบบผสม คือ มีทั้งภาวะไอจามแล้วปัสสาวะเล็ดและมีปัสสาวะราดร่วมกัน นอกจากนี้แล้วยังมีภาวะกลั้นปัสสาวะไม่ได้อีกหลายชนิด แต่อาจพบได้น้อยกว่า
ปัจจัยใดบ้างที่ก่อให้เกิดอาการปัสสาวะเล็ด กลั้นไม่ได้
- ผู้หญิงที่อยู่ในวัยหมดประจำเดือน ร่างกายจะผลิตฮอร์โมนเอสโตรเจนได้น้อยลง ซึ่งฮอร์โมนเอสโตรเจนนี้จะช่วยให้เยื่อบุในบริเวณกระเพาะปัสสาวะและท่อปัสสาวะเกิดความแข็งแรง ซึ่งเมื่อร่างกายผลิตฮอร์โมนนี้ได้น้อยลง จึงส่งผลให้เนื้อเยื่อบริเวณดังกล่าวนั้นเสื่อมสภาพลงนั่นเองค่ะ
- ปัจจัยที่มาจากการคลอดบุตร ยิ่งถ้ามีการคลอดบุตรเยอะ ก็จะส่งผลทำให้กล้ามเนื้อในบริเวณที่ควบคุมกระเพาะปัสสาวะอ่อนแอลง จนทำให้กล้ามเนื้ออุ้งเชิงกรานหย่อนตัวลง
- อายุที่เพิ่มมากขึ้น ก็มีส่วนทำให้กล้ามเนื้ออุ้งเชิงกรานบริเวณที่ควบคุมกระเพาะปัสสาวะ เกิดความเปลี่ยนแปลง และบรรจุปัสสาวะได้ลดน้อยลงตามไปด้วย
- ผู้ที่มีน้ำหนักตัวเยอะ เนื่องจากไขมันส่วนเกิน จะเข้าไปกดทับบริเวณท้องน้อย เพิ่มแรงกดทับลงบนบริเวณที่ควบคุมกระเพาะปัสสาวะ ส่งผลให้เกิดการบีบตัวทำให้มีอาการปัสสาวะเล็ด
แจก 3 ท่า ฝึกบริหารกล้ามเนื้อช่องเชิงกราน
ท่าที่ 1 บริหารในท่านอนเหยียดขา
ฝึกขมิบให้แรง คล้ายยกอวัยวะในช่องเชิงกรานขึ้นมาเก็บไว้บริเวณหน้าท้อง พร้อมสูดหายใจเข้าให้เต็มที่ หยุดกลั้นไว้ แล้วแขม่วท้องน้อยไปพร้อมๆ กัน นับให้ครบ 5 วินาที แล้วคลายออก ทำซ้ำให้ครบ 10 ครั้ง
ท่าที่ 2 บริหารในท่านอนยกสะโพก
เริ่มต้นในท่านอนหงาย โดยงอเข่าตั้งตรง แขนขวาเหยียดตรง จากนั้นฝึกขมิบ เช่นเดียวกับท่าที่ 1 แล้วนับให้ครบ 5 วินาที จากนั้นให้คลายแรงบีบกล้ามเนื้อช่องเชิงกรานออกในขณะที่ลดสะโพกและหลังลงกับพื้น แล้วกลับมาสู่ท่าเริ่มต้น ทำซ้ำให้ครบ 10 ครั้ง
ท่าที่ 3 บริหารในท่ายืน
ยืนแยกขา โดยให้เท้าห่างจากกันประมาณช่วงหัวไหล่ ยืดหน้าอก และเชิดหน้าให้ตรง ขณะที่ใช้ฝ่ามือทั้ง 2 ข้างวางบนขอบโต๊ะ แล้วทิ้งน้ำหนักตัวลงที่ฝ่ามือ จากนั้นฝึกขมิบ เช่นเดียวกับท่าที่ 1
ทั้งนี้การฝึกบริหารในแต่ละท่าควรคำนึงถึงความปลอดภัยและพื้นฐานสุขภาพร่างกายของแต่ละบุคคลเป็นหลัก
และสำหรับผู้ที่มีปัญหาปัสสาวะเล็ด กลั้นปัสสาวะไม่ได้ อย่านิ่งนอนใจ ควรปรึกษาแพทย์เฉพาะทาง เพื่อเข้ารับการรักษาอย่างเหมาะสมนะคะ และสำหรับท่านไหนที่มีปัญหาปัสสาวะเล็ด กลั้นปัสสาวะไม่ได้ จนรบกวนการใช้ชีวิต ไม่กล้าออกไปทำกิจกรรมอย่างที่เคย ควรใส่ตัวช่วยอย่าง ‘กางเกงซึมซับ’ ที่สวมง่าย ใส่สบาย ใส่ได้ทุกวัน สัมผัสนุ่ม และซึมซับปัสสาวะได้ดี แห้งสบาย ช่วยให้สามารถกลับมาใช้ชีวิตตามปกติได้อย่างมีความสุขในทุกๆ วัน
ขอบคุณข้อมูลจาก โรงพยาบาลวิภาวดี , คณะเภสัชศาสตร์ มหาวิทยาลัยมหิดล , โรงพยาบาลกรุงเทพ และโรงพยาบาลนครธน