“สีปัสสาวะ” เรื่องที่หลายๆ คน อาจไม่ได้ให้ความสนใจหรือสังเกตอย่างจริงจัง ซึ่งสีของปัสสาวะสามารถบอกข้อมูลเกี่ยวกับสุขภาพของคุณและผู้สูงวัยได้มากกว่าที่คิด โดยสีของปัสสาวะอาจเปลี่ยนแปลงไปได้จากหลายสาเหตุ เช่น จากยา อาหารที่กิน และปัญหาสุขภาพต่างๆ แม้ว่าทั่วไปแล้วไม่ใช่เรื่องที่น่าวิตกกังวล แต่ในบางครั้งสีของปัสสาวะก็อาจบอกถึงโรคร้ายที่แอบแฝงอยู่ในร่างกายของคุณและผู้สูงวัยได้ค่ะ ด้วยความห่วงใยในสุขภาพ วันนี้ #เซอร์เทนตี้กูรู จะพาไปทำความรู้จักเรื่องของ “สีปัสสาวะ” พร้อมวิธีเช็กสีปัสสาวะกันค่ะ
พารู้จักเรื่องของ ‘ปัสสาวะ’
‘ปัสสาวะ’ เป็นสิ่งที่ขับถ่ายออกมาจากร่างกาย โดยไตจะกรองเอาของเสียและสิ่งที่มากเกินพอออกจากเลือด และขับออกมาเป็นปัสสาวะ ถ้าไตไม่ทำงาน จะมีของเสียคั่งในเลือด อาจทำให้เกิดอาการผิดปกติต่างๆ เช่น อ่อนเพลีย เบื่ออาหาร คลื่นไส้ อาเจียน สะอึก หอบเหนื่อย บวม เป็นต้น
สีปัสสาวะที่ปกติควรจะเป็นลักษณะอย่างไร
สีปัสสาวะที่ปกติจะมีสีเหลืองอ่อนใสคล้ายๆ สีของฟางข้าว ไม่ขุ่น ถ้าหากดื่มน้ำมาก สีของปัสสาวะก็จะยิ่งใสมากขึ้นเท่านั้น ในทางกลับกันถ้าดื่มน้ำน้อย ปริมาณของปัสสาวะก็น้อยและยังทำให้สีของปัสสาวะเข้มขึ้นถึงสีเหลืองอำพัน แต่ถ้าหากดื่มน้ำมาก แต่ปัสสาวะยังเป็นสีเหลืองขุ่น หรือดื่มน้ำน้อยแต่ปัสสาวะเป็นสีขาวใส อาจเป็นสัญญาณเตือนว่าคุณหรือผู้สูงวัยอาจกำลังมีปัญหาสุขภาพได้นั่นเอง
เช็ก 10 สีปัสสาวะ สามารถบอกอะไรได้บ้าง
ปัสสาวะเป็นสิ่งที่อาจช่วยบอกโรคหรือส่งสัญญาณเตือนถึงปัญหาสุขภาพได้หลายชนิด แล้วแต่ละสีของปัสสาวะหมายถึงสัญญาณเตือนอะไรได้บ้าง ตามไปเช็กกันค่ะ
1. ปัสสาวะใส ไม่มีสี อาจเกิดจากดื่มน้ำมากเกินไป และอาจทำให้ระดับเกลือแร่ในร่างกายต่ำเกินไป ในบางกรณีระดับเกลือแร่ที่ต่ำมากอาจทำให้เสียชีวิตได้ หากปัสสาวะมีสีใสเป็นบางครั้งบางคราวถือว่าเป็นเรื่องปกติ แต่หากปัสสาวะใสอยู่ตลอดเวลา ควรลดปริมาณการดื่มน้ำลง นอกจากนี้ปัสสาวะใสยังบอกถึงโรคบางอย่างได้ เช่น โรคเบาหวาน การกินยาขับปัสสาวะ โรคไต เป็นต้น
2. สีขาวขุ่น พบได้ในคนที่ดื่มนมมากจนทำให้เกิดผลึกของฟอสเฟตหรือเกิดจากโรคติดเชื้อทางเดินปัสสาวะ เช่น โรคกรวยไตอักเสบ โรคกระเพาะปัสสาวะอักเสบ หรือหากปัสสาวะมีสีขาวขุ่นคล้ายน้ำนมอาจเป็นสีของหนอง ซึ่งเกิดจากการอักเสบของทางเดินปัสสาวะหรืออาจเป็นสีของไขมัน ซึ่งเกิดจากการที่ท่อน้ำเหลืองอุดตัน เช่น ผู้ป่วยที่เป็นโรคเท้าช้าง
3.สีเหลืองอ่อนไปจนถึงสีเหลืองทอง หมายถึงระดับน้ำในร่างกายอยู่ในระดับปกติ
4.สีเหลืองเข้ม เป็นสีปัสสาวะปกติ แต่แนะนำว่าควรดื่มน้ำให้มากขึ้น
5. สีเหลืองสดหรือสีนีออน เกิดจากกินวิตามินและอาหารเสริม ซึ่งไม่เป็นอันตราย
6. สีส้ม ร่างกายขาดน้ำและหมายถึงมีปัญหาเกี่ยวกับถุงน้ำดีหรือตับ รวมถึงอาจเกิดจากการกินแครอท การกินวิตามินบี 2 ในปริมาณมาก ยาบางชนิดที่ทำให้ปัสสาวะเป็นสีส้ม
7. สีส้มเข้มหรือสีน้ำตาล สาเหตุเกิดขึ้นได้จากการขาดน้ำอย่างรุนแรง เป็นดีซ่าน มีภาวะกล้ามเนื้อลายสลาย นอกจากนี้ยาบางชนิดยังทำให้ปัสสาวะมีสีน้ำตาลได้
8. สีน้ำตาลเข้มหรือดำ อาจเกิดจากการกินถั่วบางชนิดในปริมาณมาก หรือแสดงถึงโรคบางชนิด เช่น โรคตับ โรคมะเร็งผิวหนัง
9. สีแดง ปัสสาวะสีแดงนอกจากจะเกิดจากการกินอาหารบางชนิด เช่น บีทรูท กระเจี๊ยบแดง หรืออาจเกิดจากการมีเลือดปน ซึ่งเป็นได้ตั้งแต่สีแดงจางๆ ไปจนถึงแดงเข้ม ขึ้นอยู่กับปัญหาสุขภาพที่เกิดขึ้น เลือดที่ปนในปัสสาวะอาจเกิดจากการติดเชื้อ หรือนิ่วในไต ท่อไต กระเพาะปัสสาวะ รวมถึงเนื้องอกที่ไม่อันตรายไปจนถึงมะเร็งในไต กระเพาะปัสสาวะ หรือท่อปัสสาวะ ซึ่งพบได้บ่อยในผู้สูงวัยทั้งหญิงและชาย แต่ก็อาจพบผู้ที่มีอายุน้อยแต่สูบบุหรี่จัด บ่อยครั้งที่พบว่าปัสสาวะมีเลือดปนเนื่องจากมีเนื้องอกหรือมะเร็งมักไม่มีอาการหรือความเจ็บปวดใดๆ นอกจากนี้การขยายตัวของต่อมลูกหมากที่ไม่เป็นมะเร็งในคุณผู้ชายก็สามารถทำให้มีเลือดปนในปัสสาวะเช่นกัน ดังนั้นหากพบว่ามีเลือดปนในปัสสาวะติดต่อกันหลายวัน หรือมีเลือดออกมากจนปัสสาวะเป็นสีแดงเข้ม ควรรีบพบแพทย์
10. สีเขียว ยาบางชนิดและสีผสมอาหารสีเขียวอาจทำให้ปัสสาวะเป็นสีเขียวได้ นอกจากนี้ยังอาจเกิดจากการติดเชื้อแบคทีเรียในทางเดินปัสสาวะได้
สีปัสสาวะแบบไหนที่คุณหรือผู้สูงวัยควรไปพบแพทย์
โดยส่วนใหญ่แล้ว ปัสสาวะที่มีสีเปลี่ยนไปไม่ได้เป็นเรื่องร้ายแรงต่อสุขภาพจนต้องกังวล แต่ควรรีบไปพบแพทย์หากพบว่าปัสสาวะของคุณหรือผู้สูงวัยมีความผิดปกติดังต่อไปนี้
- ปัสสาวะมีสีชมพูหรือสีแดงเพราะมีเลือดออกปนกับปัสสาวะ
- ปัสสาวะมีสีน้ำตาลเข้มหรือสีส้ม ผิวหนังและดวงตาเป็นสีเหลือง อุจจาระมีสีซีด อาจเกิดจากตับทำงานบกพร่อง
- ปัสสาวะมีสีที่แปลกไปอย่างไม่มีสาเหตุติดต่อกันนานหลายวัน
เพราะการเช็กสีของปัสสาวะด้วยตัวเองเป็นเรื่องที่ควรหมั่นเช็กอย่างสม่ำเสมอ เพื่อคอยดูว่าปัสสาวะของคุณหรือผู้สูงวัยมีสีผิดปกติไปจากเดิมที่อาจเสี่ยงต่อโรคต่างๆ หรือไม่ ซึ่งหากพบความผิดปกติควรรีบไปพบแพทย์ เพื่อเข้ารับการวินิจฉัยโรคและรักษาอย่างเหมาะสมค่ะ
และท่านไหนที่มีปัญหาปัสสาวะเล็ด ไหลซึม กลั้นไม่ได้ กลั้นไม่อยู่ จนรบกวนการใช้ชีวิตประจำวัน ควรใส่ตัวช่วยอย่าง ‘กางเกงซึมซับ’ ที่สวมง่าย ใส่สบาย ใส่ได้ทุกวัน สัมผัสนุ่ม และซึมซับปัสสาวะได้ดี แห้งสบาย แค่นี้ก็ออกไปทำกิจกรรมที่ชอบได้อย่างที่เคย และมีความสุขในทุกๆ วันแล้วล่ะค่ะ
ขอบคุณข้อมูลจาก โรงพยาบาลธนบุรี ทวีวัฒนา , สสส. , โรงพยาบาลบำรุงราษฎร์ ,โรงพยาบาลสมิติเวช , โรงพยาบาลเปาโลรังสิต และโรงพยาบาลมะเร็งชีวามิตรา