‘นิ่วในไต’ ซึ่งเป็นหนึ่งในโรคที่พบได้บ่อยในวัยประมาณ 30 – 40 ปี โดยเฉพาะคุณผู้ชายมักมีโอกาสพบได้มากกว่าคุณผู้หญิง

‘นิ่วในไต’ อย่าชะล่าใจ มาเช็กอาการเตือน! ก่อนไตพัง

25 มีนาคม 2567
แชร์

‘นิ่วในไต’ อย่าชะล่าใจ มาเช็กอาการเตือน! ก่อนไตพัง

‘นิ่วในไต’ หรือ Kidney stone คือ 
‘นิ่วในไต’ เป็นโรคที่เกิดจากการสะสมของแร่ธาตุแข็งชนิดต่างๆ เช่น แคลเซียมออกซาเลต และบางครั้งอาจเป็นแคลเซียมฟอสเฟต ยูริก เป็นต้น จนกลายเป็นก้อนที่มีชนิด และขนาดแตกต่างกัน โดยมักพบที่บริเวณกรวยไตและระบบทางเดินปัสสาวะ เป็นผลมาจากการที่ปัสสาวะมีความเข้มข้นมาก และตกตะกอนจนกลายเป็นก้อนนิ่วขึ้นมา ซึ่งนิ่วในไตมีโอกาสเป็นซ้ำได้ และแม้จะเกิดขึ้นในไต แต่ก้อนนิ่วก็มีโอกาสหลุดลงมาในท่อไตจนถึงบริเวณกระเพาะปัสสาวะหรือท่อปัสสาวะได้

ปัจจัยเสี่ยงของการเกิด ‘นิ่วในไต’ 
สำหรับปัจจัยเสี่ยงที่อาจทำให้เกิดโรคนิ่วในไตส่วนมากมักมีความเกี่ยวข้องกับการมีแคลเซียมในปัสสาวะมากผิดปกติจากปัจจัยต่างๆ ดังต่อไปนี้ 
- ปัจจัยทางพันธุกรรม โดยผู้ที่มีประวัติครอบครัวเป็นนิ่วในไตสูงกว่าคนในครอบครัวปกติ 
- ปัจจัยด้านเพศ และอายุ พบการเกิดนิ่วในผู้ชายสูงกว่าผู้หญิง ส่วนใหญ่ในช่วงอายุ 30-60 ปี 
- พฤติกรรมดื่มน้ำน้อยเกินไป ซึ่งอาจทำให้ปัสสาวะมีความเข้มข้นสูงขึ้น และเกิดเป็นตะกอนนิ่วได้ 
- การรับประทานอาหารบางอย่างเป็นประจำ และมากเกินความจำเป็น เช่น อาหารที่มีแคลเซียมสูง มีโปรตีนสูง หรือมีโซเดียมสูง รวมถึงอาหารที่มีสารออกซาเลตซึ่งจะไปยับยั้งการดูดซึมแคลเซียม ทำให้ระดับแคลเซียมในปัสสาวะเพิ่มขึ้น ได้แก่ ถั่ว หน่อไม้ ช็อกโกแลต ผักปวยเล้ง มันเทศ แต่ทั้งนี้การรับประทานอาหารจะถือว่าเป็นปัจจัยเสี่ยงก็ต่อเมื่อมีปัจจัยเสี่ยงอื่นๆ ร่วมด้วย 
- ภาวะของต่อมพาราไทรอยด์ทำงานมากเกินไป และการเป็นโรคบางอย่าง เช่น โรคลำไส้อักเสบเรื้อรัง โรคอ้วนน้ำหนักมากเกินไป โรคเบาหวาน โรคเกาต์ เป็นต้น 
- กลั้นปัสสาวะเป็นเวลานาน เคลื่อนไหวร่างกายน้อย เช่น ผู้ป่วยอัมพฤกษ์อัมพาต 
- ยาบางชนิด การรับประทานยาบางชนิดจะมีผลต่อการขับสารก่อนิ่วออกมาในปัสสาวะมากขึ้น 

เช็กสัญญาณของ ‘นิ่วในไต’
โดยทั่วไปแล้วนิ่วในไตมักไม่มีสัญญาณเตือนที่ชัดเจน แต่อาจจะมีสัญญาณหรืออาการแสดงออกมาก็ต่อเมื่อมีการติดเชื้อซ้ำซ้อน หรือมีก้อนนิ่วไปอุดกั้นทางเดินปัสสาวะ สำหรับสัญญาณเตือนที่กำลังบ่งบอกว่าเป็นนิ่วในไต ได้แก่ 
- ปวดหลังหรือช่องท้องส่วนล่างข้างใดข้างหนึ่ง โดยจะปวดเสียด ปวดบิดเป็นพักๆ คล้ายปวดท้องประจำเดือน แต่อาจปวดนานเป็นชั่วโมง หรือเป็นวัน 
- มีอาการคลื่นไส้ อาเจียน มีไข้หนาวสั่น 
- มีปัสสาวะที่ผิดปกติ เช่น ปัสสาวะขุ่นแดง หรือบางครั้งอาจมีนิ่วก้อนเล็กๆ หรือมีเม็ดทรายปนออกมากับปัสสาวะด้วย ในบางรายอาจปัสสาวะบ่อย ปัสสาวะน้อย หรือปัสสาวะไม่ออก 
- เมื่อกดบริเวณที่ปวดจะไม่รู้สึกเจ็บ หรือบางครั้งก็อาจรู้สึกสบายขึ้น 
- ถ้าก้อนนิ่วตกลงมาที่ท่อไตจะมีอาการปวดบิดในท้องรุนแรง 
- หากมีอาการหนัก จะปวดท้องพร้อมกับมีไข้สูง แม้จะรับประทานยาบรรเทาปวดแล้วก็ยังไม่หาย ให้รีบพบแพทย์ทันที

การดูแลสุขภาพเบื้องต้นให้ลดเสี่ยง ‘นิ่วในไต’ 
- ดื่มน้ำให้มาก และเพียงพอในแต่ละวัน เพื่อช่วยลดโอกาสการตกตะกอนของก้อนนิ่ว
-  กินแคลเซียมจากอาหารธรรมชาติให้เพียงพอ ไม่มากหรือน้อยจนเกินไป 
- เลี่ยงอาหารที่มีสารออกซาเลตสูง รวมถึงอาหารที่มีกรดยูริกสูง 
- เลี่ยงอาหารรสเค็ม ลดเกลือหรือโซเดียมในมื้ออาหารลง 
- ควบคุมการกินเนื้อสัตว์ ไขมันสัตว์ นม เนย 
- กินผัก หรืออาหารที่มีกากใยสูง เพื่อช่วยลดโอกาสเกิดนิ่ว 
- ออกกำลังกายอย่างสม่ำเสมอ 
- ปรึกษาแพทย์ก่อนทานวิตามินเสริมและอาหารเสริมต่างๆ 

หากเช็กสัญญาณต่างๆ แล้วเข้าข่ายเสี่ยงเป็น ‘นิ่วในไต’ อย่าปล่อยทิ้งไว้นานหรือมองข้ามคิดว่าไม่เป็นไร ควรรีบรับคำปรึกษากับแพทย์เฉพาะทาง เพื่อจะได้รับการรักษาอย่างทันท่วงที ก่อนมีอาการรุนแรงหรือเกิดภาวะแทรกซ้อน 

และสำหรับท่านไหนที่มีปัญหาปัสสาวะบ่อย แล้วเข้าห้องน้ำไม่ทัน จนรบกวนการออกไปทำกิจกรรมนอกบ้าน ควรใส่ตัวช่วยอย่าง ‘กางเกงซึมซับ’ ที่สวมง่าย ใส่กระชับพอดีตัว ใส่ได้ทุกวัน ผิวสัมผัสนุ่ม และซึมซับปัสสาวะได้ดี แห้งสบาย แค่นี้คุณก็สามารถทำกิจกรรมนอกบ้านได้แบบมีความสุขในทุกๆ วัน แล้วล่ะค่ะ

ขอบคุณข้อมูลจาก โรงพยาบาลกรุงเทพ , โรงพยาบาลนครธน , โรงพยาบาลบำรุงราษฎร์