เคยไหมคะ? ช่วงเวลาที่เรากำลังสนุกกับกิจกรรมต่างๆ แต่กลับถูกรบกวนด้วยอาการปัสสาวะผิดปกติ ขัดเบา หรือปวดเป็นครั้งคราวที่บั้นเอวหรือหลัง บางครั้งก็เป็นๆ หายๆ จนทำให้การใช้ชีวิตวันประจำวันต้องสะดุด อาการเหล่านี้อาจเป็นเพราะร่างกายกำลังส่งสัญญาณเตือนว่าคุณหรือผู้สูงวัยอาจกำลังเสี่ยงเป็น ‘นิ่วในระบบทางเดินปัสสาวะ’ ซึ่งหากปล่อยทิ้งไว้ อาจเกิดภาวะแทรกซ้อนอื่นๆ ตามมาได้ค่ะ ดังนั้นก่อนจะสายเกินแก้ ตาม #Certainty มาเช็กอาการที่เข้าข่าย ‘นิ่วในระบบทางเดินปัสสาวะ’ พร้อมวิธีป้องกันเบื้องต้นกันดีกว่าค่ะ
ทำความรู้จัก ‘นิ่วในระบบทางเดินปัสสาวะ’ คืออะไร
นิ่วที่เกิดในระบบทางเดินปัสสาวะ มี 2 รูปแบบ คือ นิ่วที่หลุดมาจากไตหรือท่อไตลงมาที่กระเพาะปัสสาวะ และนิ่วที่เกิดในกระเพาะปัสสาวะ ก้อนของสารหรือแร่ธาตุที่ตกตะกอนจากการที่มีปัสสาวะคั่งค้างอยู่ในกระเพาะปัสสาวะ ทำให้ขับถ่ายออกไปไม่หมดด้วยสาเหตุบางประการ เช่น ภาวะต่อมหมวกไต หรือกระเพาะปัสสาวะทำงานผิดปกติบีบตัวไม่ดี เป็นต้น
อย่างไรก็ตาม หากก้อนนิ่วมีขนาดเล็กอาจถูกขับออกมาทางปัสสาวะได้เอง แต่ถ้านิ่วมีขนาดใหญ่ก็อาจจะไปอุดตันตามตำแหน่งต่างๆ ได้ บางรายก็จำเป็นต้องรักษาด้วยการรับประทานยา หรือผ่าตัด เพราะหากปล่อยไว้อาจทำให้ติดเชื้อ หรือเกิดภาวะแทรกซ้อนนั่นเองค่ะ
ปัจจัยเสี่ยงของการเกิดนิ่ว
1. ปริมาณน้ำที่ดื่ม นับเป็นปัจจัยสำคัญของการเกิดนิ่ว ยิ่งดื่มน้ำน้อย โอกาสเกิดนิ่วยิ่งสูงขึ้น
2. อายุและเพศ พบบ่อยในกลุ่มคนทำงาน ช่วงอายุ 40 – 60 ปี และมักพบในเพศชายมากกว่าเพศหญิง เนื่องจากระบบทางเดินปัสสาวะของผู้ชายมีขนาดยาวและคดเคี้ยวกว่า ตะกอนนิ่วจึงมีโอกาสตกค้างได้มากกว่า
3. กรรมพันธุ์ หากพ่อแม่เป็นโรคนิ่วในทางเดินปัสสาวะก็มีโอกาสที่จะเป็นโรคนิ่วเพิ่มขึ้นได้
4. ความผิดปกติของต่อมพาราไทรอยด์ ซึ่งหลั่ง hormone ที่ควบคุมสาร calcium ออกมามากกว่าปกติ
5. ความผิดปกติของระบบทางเดินปัสสาวะ เช่น กระเพาะปัสสาวะบีบตัวไม่ดี, มีความผิดปกติทางกายวิภาค หรือ ภาวะติดเชื้อในระบบทางเดินปัสสาวะ
6. อาหารที่รับประทาน เช่น เครื่องในสัตว์ ยอดผัก สาหร่าย ที่มีกรดยูริคสูง ทำให้เสี่ยงต่อการสะสมของตะกอนยูริคมากขึ้น และอาหารที่มีสารออกซาเลต สูง เช่น ผักโขม หน่อไม้ ชะพลู เป็นต้น
7. ยาบางชนิด เช่น ยาลดกรดที่กินต่อเนื่องเป็นเวลานานๆ ทำให้ปัสสาวะมีฤทธิ์เป็นด่าว
เช็กอาการที่อาจพบได้บ่อย
อาการจะขึ้นอยู่กับขนาด และตำแหน่งที่นิ่วอุดตันอยู่ โดยถ้าหากนิ่วมีขนาดใหญ่จนขับออกมาไม่ได้ จะเริ่มมีสัญญาณเตือน ยกตัวอย่างเช่น
• ปวดท้องน้อยเรื้อรัง อาจร่วมกับปวดหลังเรื้อรัง
• ปัสสาวะผิดปกติ หรือมีอาการขัดเบา ปัสสาวะกะปริดกะปรอย ปัสสาวะลำบาก ปวดเบ่งคล้ายว่ายังถ่ายปัสสาวะไม่สุด ปวดแสบปวดร้อน ปัสสาวะสะดุดและออกเป็นหยด ปัสสาวะบ่อย หรือปัสสาวะไม่ออก กลั้นปัสสาวะไม่อยู่
• ผู้ป่วยบางรายอาจปัสสาวะเป็นเลือดหรือมีสีน้ำตาลล้างเนื้อ อาจถ่ายปัสสาวะเป็นก้อนนิ่ว, เม็ดกรวดทรายเล็กๆ หรือปัสสาวะขุ่นขาวเหมือนมีผงแป้งปนอยู่
• หากก้อนนิ่วตกลงไปอุดกั้นท่อปัสสาวะ ผู้ป่วยจะมีอาการปวดท้องน้อยมาก ปัสสาวะไม่ออก และมีปัสสาวะคั่งอยู่ในกระเพาะปัสสาวะ
• กระเพาะปัสสาวะอักเสบบ่อย ปวดท้องน้อย ปวดหลัง ปัสสาวะแสบปวดร้อน โดยเฉพาะตอนปัสสาวะสุด มีไข้ ปวดเนื้อตัว และอาจมีอาการปวดข้อร่วมด้วย
การดูแลตัวเองและลดความเสี่ยงการเกิดนิ่วในเบื้องต้น
1. รับประทานอาหารที่มีประโยชน์ สารอาหารครบถ้วนในสัดส่วนที่เหมาะสมกับวัย
2. ดื่มน้ำมากกว่าวันละ 8 แก้ว หรือวันละ 2 ลิตรขึ้นไป ลดความอิ่มตัวของสารก่อนิ่ว
3. ลดปริมาณการทานอาหารบางชนิด เช่น ไขมันสัตว์ อาหารหวาน อาหารเค็ม และอาหารที่มีกรดยูริคสูง
4. หลีกเลี่ยงอาหารที่มีออกซาเลตสูง เช่น ผักโขม ชา ถั่ว หน่อไม้ฝรั่ง น้ำอัดลม กาแฟ เป็นต้น
5. ตรวจสุขภาพประจำปีอย่างน้อย 1 ปีครั้ง อย่างสม่ำเสมอ
หากเช็กแล้วมีอาการผิดปกติดังกล่าวในข้างต้น อย่าละเลยหรือปล่อยไว้ให้หายเอง ควรรีบไปพบคุณหมอเฉพาะทาง เพื่อตรวจเช็กร่างกาย จะได้รับการรักษาอย่างเหมาะสมและทันท่วงทีค่ะ แต่ถ้าคุณหรือผู้สูงวัยมีอาการปัสสาวะเล็ด กะปริดกะปรอย หรือกลั้นปัสสาวะไม่อยู่ แนะนำให้ใส่ตัวช่วยอย่าง ผ้าอ้อมผู้ใหญ่สำเร็จรูป แบบกางเกง ที่ซึมซับดี สัมผัสนุ่ม ไม่อับชื้น สวมใส่ง่าย ก็จะช่วยให้เคลื่อนไหวได้คล่องตัว ทำกิจกรรมหรือใช้ชีวิตประจำวันอย่างคลายกังวลนั่นเองค่ะ
ขอบคุณข้อมูลจาก ศูนย์ศัลยกรรม โรงพยาบาลพริ้นซ์ สุวรรณภูมิ , โรงพยาบาลศิริราช ปิยมหาราชการุณย์ , โรงพยาบาลเปาโล พหลโยธิน , โรงพยาบาลจุฬารัตน์ 3 อินเตอร์ และโรงพยาบาลบำรุงราษฎร์ในกรุงเทพ