‘กรวยไตอักเสบ’ เป็นโรคที่อาจจะเกิดจากพฤติกรรมในชีวิตประจำวันของเรา โดยมักพบในเพศหญิง มากกว่าเพศชาย

‘กรวยไตอักเสบ’ หากปล่อยไว้อาจเสี่ยงอันตรายมากกว่าที่คิด

15 พฤศจิกายน 2565
แชร์

‘กรวยไตอักเสบ’ หากปล่อยไว้อาจเสี่ยงอันตรายมากกว่าที่คิด

วันนี้จะพาไปทำความรู้จักกับ ‘กรวยไตอักเสบ’ หนึ่งในโรคระบบทางเดินปัสสาวะที่หลายคนอาจมองว่าไกล ซึ่งเป็นโรคที่อาจจะเกิดจากพฤติกรรมในชีวิตประจำวันของเรา โดยมักพบในเพศหญิง มากกว่าเพศชาย และยังสามารถเกิดขึ้นได้ทุกเพศทุกวัย หากปล่อยอาการทิ้งไว้อาจติดเชื้อ หรือเกิดภาวะแทรกซ้อน เช่น ภาวะไตวายเรื้อรังได้ ดังนั้น #Certainty จะพาลูกๆ หลานๆ รวมทั้งผู้สูงอายุ มารู้จักวิธีสังเกตอาการตัวเอง พร้อมวิธีป้องกันเพื่อให้รู้เท่าทันโรคกันค่ะ


🔹ทำความรู้จัก ‘กรวยไตอักเสบ’ คืออะไร 
กรวยไตอักเสบ (Pyelonephritis) คือ การติดเชื้อแบคทีเรียในกรวยไต โดยเฉพาะเชื้อแบคทีเรียอีโคไล (Escherichia Coli) เป็นเชื้อที่พบบ่อย โดยแบ่งได้เป็นสองชนิด คือ กรวยไตอักเสบเฉียบพลัน (Acute Pyelonephritis) และ กรวยไตอักเสบเรื้อรัง (Chronic Pyelonephritis)

🔹ความต่างของ ‘กรวยไตอักเสบเฉียบพลัน’ และ ‘กรวยไตอักเสบเรื้อรัง’
กรวยไตอักเสบเฉียบพลัน (Acute Pyelonephritis)
เป็นการติดเชื้อแบคทีเรียกลุ่มแกรมลบ (Gram negative bacteria) บริเวณกรวยไต เชื้อที่พบได้บ่อย เช่น อีโคไล (Escherichia Coli), สูโดโมแนส (Pseudomonas) และ เคล็บซิลลา (Klebsiella) เป็นต้น กรวยไตอักเสบเฉียบพลัน จะแสดงอาการชัดเจนและรุนแรง ส่วนใหญ่รักษาหายใน 2-3 สัปดาห์ มักจะพบผู้ป่วยเป็นผู้หญิงในวัยเด็ก และวัยเจริญพันธุ์มากกว่าผู้ชาย

กรวยไตอักเสบเรื้อรัง Chronic Pyelonephritis 
เป็นการติดเชื้อแบคทีเรียบริเวณกรวยไต จาากการอุดกั้นหรือความผิดปกติของทางเดินปัสสาวะ มักไม่แสดงอาการชัดเจน นอกจากการตรวจพบเชื้อแบคทีเรีย และเม็ดเลือดขาวในปัสสาวะ ผู้ป่วยมักจะมีการอักเสบของกรวยไตเป็นระยะเวลานาน ทำให้เซลล์ของไตถูกทำลาย และอาจเกิดภาวะไตวายเรื้อรังในที่สุด

🔹กรวยไตอักเสบ มีปัจจัยเสี่ยงจากอะไรได้บ้าง 
ปัจจัยเสี่ยงที่ทำให้เกิดกรวยไตติดเชื้อ ได้แก่ มีการติดเชื้อที่ส่วนอื่น ๆ ของทางเดินปัสสาวะอยู่แล้ว เช่น มีการอุดกั้นของทางเดินปัสสาวะ เป็นโรคกระเพาปัสสาวะอักเสบ เป็นต้น 

🔹สัญญาณเตือนต่างๆ ที่อาจพบได้ 
1. ไข้สูง หนาวสั่น ปวดศีรษะ 
2. อ่อนเพลีย เบื่ออาหาร อาจมีอาการคลื่นไส้ อาเจียนร่วมด้วย 
3. มีอาการปวดท้อง ปวดบั้นเอวข้างใดข้างหนึ่ง 
4. ปัสสาวะบ่อย ปัสสาวะมีกลิ่นเหม็น สีขุ่นมีเลือดหรือหนองปนมากับปัสสาวะ ปัสสาวะแล้วแสบขัด ออกกะปริดกะปรอย 

🔹วิธีดูแลตัวเองเพื่อลดความเสี่ยงเบื้องต้น 
1. หลีกเลี่ยงการอั้นปัสสาวะ ควรปัสสาวะทันทีเมื่อรู้สึกปวด 
2. ดื่มน้ำสะอาดอย่างน้อยวันละ 8-10 แก้ว ขึ้นไป 
3. นอนพักผ่อนให้เพียงพอ 
4. รักษาสุขอนามัยในการขับถ่าย เพื่อลดโอกาสเกิดการติดเชื้อในระบบทางเดินปัสสาวะ 

หากพบว่าคุณหรือผู้สูงอายุมีอาการที่เข้าข่ายโรคนี้ ควรไปพบแพทย์เพื่อเข้ารับการรักษาที่เหมาะสมอย่างทันท่วงที และสำหรับท่านไหนที่มีปัญหากลั้นปัสสาวะไม่ได้ จนอาจส่งผลกระทบต่อการทำกิจกรรมต่าง ๆ หรือรบกวนการใช้ชีวิตประจำวัน ควรดูแลด้วยตัวช่วยอย่าง ‘กางเกงซึมซับ’ ที่ซึมซับดี สวมใส่ง่าย ใส่กระชับ เคลื่อนไหวได้อย่างคล่องตัว ช่วยให้คุณได้ออกไปใช้ชีวิตอย่างมีความสุขในทุกวัน 

ขอบคุณข้อมูลจาก โรงพยาบาลเพชรเวช , โรงพยาบาลวิชัยยุทธ , โรงพยาบาลจุฬาลงกรณ์ , สภากาชาดไทยโรงพยาบาลกรุงเทพพัทยา